Just a Step From Hell
Sunday, July 21, 2013
เคยไหมที่ชีวิตคุณอยู่ก้ำกึ่งระหว่างความถูกผิด ความสุขความทุกข์ หรือความเป็นความตาย และเมื่อเราคิดว่าการพยายามให้ได้อยู่ในส่วนที่ดีที่ชอบข้อจำกัดมันมากและโอกาสมันน้อยจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายที่เราอาจจะไถลไปในทางที่ทำให้เราแย่ลงกลายเป็นความกังวลเป็นความเครียด เราต้องจัดการ....
ผมต้องมารับสภาพนั้นอีกครั้ง สภาพที่ต้องมานั่งเก็บเนื้อเก็บตัวดูแลตัวเองให้มากกว่าที่ผ่านมา ทั้งๆที่รู้ว่าโอกาสหายขาดจากโรคมะเร็งที่กลับมาครั้งนี้มันน้อยมาก แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่ามันจะหายได้ไม่ก็ควบคุมมันได้ มีกำลังใจที่ดีอยู่ตลอดซึ่งผมเองก็ไม่ได้ไปหามาจากที่ไหน
โดยส่วนตัวผมเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว คือ หากมีเรื่องสะเทือนใจ เรื่องที่ไม่สบายใจ ทำให้ผมรู้สึกแย่ รู้สึกต้อยต่ำ อย่าง อกหัก ทำงานพลาด มีคนใส่ร้าย หลังจากรู้สึกเจ็บอยู่พักนึงก็จะตกผลึกทางความรู้สึกเกิดเป็นแรงผลักจากข้างในผมให้รู้สึกกลับมามีกำลัง รู้สึกตื่นเต้นและขนลุกทุกครั้งที่เกิดอาการแบบนั้น(บางครั้งตอนเกิดเรื่องแย่ๆผมยังแอบตื่นเต้นล่วงหน้ารออาการที่จะตามมาเลย บ้ารึป่าวไม่แน่ใจ ฮ่าๆ) และรู้สึกว่ามันมีพลังมากกว่ากำลังใจที่ได้รับจากภายนอก แต่ใช่ว่ากำลังใจรอบข้างจะไม่สำคัญสำหรับผม
ใช่ว่าผมจะสามารถอยู่คนเดียวบนโลกได้ เพราะสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ตัวคนในครอบครัวหรือคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือแม้จะไม่ใช่คนก็ตามที เพียงแต่เพราะสิ่งเหล่านั้นมีอะไรบางอย่างมากระทบความรู้สึก สะกิดใจจนทำให้ผมเกิดแรงผลักจากภายในที่ว่ามา
ผมต้องมารับสภาพนั้นอีกครั้ง สภาพที่ต้องมานั่งเก็บเนื้อเก็บตัวดูแลตัวเองให้มากกว่าที่ผ่านมา ทั้งๆที่รู้ว่าโอกาสหายขาดจากโรคมะเร็งที่กลับมาครั้งนี้มันน้อยมาก แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่ามันจะหายได้ไม่ก็ควบคุมมันได้ มีกำลังใจที่ดีอยู่ตลอดซึ่งผมเองก็ไม่ได้ไปหามาจากที่ไหน
โดยส่วนตัวผมเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว คือ หากมีเรื่องสะเทือนใจ เรื่องที่ไม่สบายใจ ทำให้ผมรู้สึกแย่ รู้สึกต้อยต่ำ อย่าง อกหัก ทำงานพลาด มีคนใส่ร้าย หลังจากรู้สึกเจ็บอยู่พักนึงก็จะตกผลึกทางความรู้สึกเกิดเป็นแรงผลักจากข้างในผมให้รู้สึกกลับมามีกำลัง รู้สึกตื่นเต้นและขนลุกทุกครั้งที่เกิดอาการแบบนั้น(บางครั้งตอนเกิดเรื่องแย่ๆผมยังแอบตื่นเต้นล่วงหน้ารออาการที่จะตามมาเลย บ้ารึป่าวไม่แน่ใจ ฮ่าๆ) และรู้สึกว่ามันมีพลังมากกว่ากำลังใจที่ได้รับจากภายนอก แต่ใช่ว่ากำลังใจรอบข้างจะไม่สำคัญสำหรับผม
ใช่ว่าผมจะสามารถอยู่คนเดียวบนโลกได้ เพราะสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ตัวคนในครอบครัวหรือคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือแม้จะไม่ใช่คนก็ตามที เพียงแต่เพราะสิ่งเหล่านั้นมีอะไรบางอย่างมากระทบความรู้สึก สะกิดใจจนทำให้ผมเกิดแรงผลักจากภายในที่ว่ามา
ผมเคยท้อแท้อย่างหนักมาแล้วครั้งนึงในชีวิต ตอนนั้นเรียนอยู่ที่ ศูนย์ฝึกพาณิชยนาวี ปีที่ 2 ยังจำได้ชัดเจนตอนนั้นผมมีอาการเจ็บขัดที่สะโพกด้านขวาและรู้สึกเย็นที่ขาขวา ยิ่งตอนหนาวๆจะรู้สึกเย็นและปวดมาก นานวันเข้าขาขวาผมก็ลีบเล็กลงจนผมเป็นคนขาเป๋ ซึ่งมันอาจจะทำให้ผมเรียนไม่จบเพราะที่นั่นจำเป็นต้องมีร่างกายสมบูรณ์ถึงแม้เรียนจบก็คงทำงานไม่ได้เพราะร่างกายไม่พร้อม แต่ก็พยายามรักษาอยู่เป็นปีหลายวิธีมันก็ไม่หาย ผมคิดไปไกลจนมันท้อแท้จากชีวิตที่มองว่าอนาคตสดใสอยู่ๆมันก็พังลงมาสภาพจิตย่ำแย่และแย่หนักเข้าไปอีกตรงที่ผมไม่ชอบแชร์ความรู้สึกให้ใครรู้
บางทีก็มีที่แอบนอนน้ำตาซึมอยู่คนเดียว มีวันนึงตอนผมนัั่งกินข้าวหน้าปากซอยผมเห็นคนขาข้างนึงขาดบนสามล้อโยกของคนพิการกำลังค้นหาขวดน้ำทิ้งจากถังขยะเก็บรวมไปใส่ใว้ที่รถของเขา ความรู้สึกแว้บแรกที่เกิดขึ้นคือ ผมมีพร้อมมากกว่าเขาทุกอย่าง ทั้งครอบครัว ฐานะ กำลังใจ แต่ผมมองตัวเองว่าไม่มีทางไปซึ่งคนพิการคนนั้นมี แม้อนาคตเขาจะยังไงไม่รู้แต่วันนี้ผมเห็นเขาพยายามอยู่(มีชีวิตอยู่) เลยกลับมามองตัวเองว่าทำไมผมบอกตัวเองว่าอนาคตผมหมดแล้ว ผมกำลังเครียดอยู่กับอะไร.....
เรื่องอนาคตทั้งนั้นที่ผมกำลังกังวล สิ่งที่ยังไม่เกิดทั้งนั้นที่ทำผมเครียด และที่ผมทำอยู่ไม่ช่วยให้ต้นตอความเครียดคือสุขภาพของผมดีขึ้นเลย ผมจะเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพอย่างจริงจังและพยายามรักษาต่อจนหายเป็นปกติ
กลับมาปัจจุบันตอนนี้ปัญหาที่รบกวนจิตใจของผมท้าท้ายกว่าเดิมเพราะปัญหาครั้งก่อนมีแค่ผมที่ทำร้ายจิตใจตัวเองแต่ตอนนี้มีบางอย่างภายในร่างกายกำลังทำร้ายผมอยู่ด้วย ข้อจำกัดมีมากขึ้น เช่นเดิมเหมือนครั้งก่อนแรกๆผมมัวไปกังวลอยู่กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ตอนนี้ผมก็รู้สึกแล้วว่านั่นก็คือป้ญหา ตัวปัญหาก็คือความคิดของผมเอง
พอเริ่มคิดได้ก็เริ่มคิดว่าผมต้องแก้ปัญหานั่น ต้องทำอย่างนู้น ต้องมีอย่างนี้ คิดไปมากมาย กลับมาเครียดอีก(ตัวปัญหาตัวเดิม) เลยตั้งสติไหม่นึกถึงหนังสือเล่มนึงที่เคยอ่านเขาเขียนเกี่ยวกับ "ขอบเขตความกังวลกับขอบเขตของอิทธิพล" เออเลยคิดไหม่ควรกังวลกับเรื่องที่ควบคุมได้อันไหนควบคุมไม่ได้ก็ไม่ต้องไปเครียดกับมัน ผมเลยสรุปสิ่งที่รบกวนจิตใจของผมและสิ่งที่ผมจะสามารถจัดการได้
พอเริ่มคิดได้ก็เริ่มคิดว่าผมต้องแก้ปัญหานั่น ต้องทำอย่างนู้น ต้องมีอย่างนี้ คิดไปมากมาย กลับมาเครียดอีก(ตัวปัญหาตัวเดิม) เลยตั้งสติไหม่นึกถึงหนังสือเล่มนึงที่เคยอ่านเขาเขียนเกี่ยวกับ "ขอบเขตความกังวลกับขอบเขตของอิทธิพล" เออเลยคิดไหม่ควรกังวลกับเรื่องที่ควบคุมได้อันไหนควบคุมไม่ได้ก็ไม่ต้องไปเครียดกับมัน ผมเลยสรุปสิ่งที่รบกวนจิตใจของผมและสิ่งที่ผมจะสามารถจัดการได้
เรื่องที่รบกวนใจ
- สุขภาพ
- สร้างอนาคต (ไหนว่าคิดถึงเรื่องอนาคตแล้วเครียดยังจะคิดทำไม)
เป้าหมาย ผมเคยตังเป้าหมายสูงสุดในชีวิตไว้ว่า "มีชีวิตที่มีความสุข" เคยมีพี่คนนึงสอนผมว่า "ทำงานที่ใหญ่ๆยากๆนานๆให้เสร็จได้ต้องแบ่งมันเป็นส่วนย่อยๆแล้วค่อยๆทำให้เสร็จที่ละอัน"
- สุขภาพ เพื่อไปถึงเป้าหมายสูงสุดผมต้องผ่านเป้าหมายรองที่ผมสามารถไปถึงได้ง่ายๆก่อนพอมีกำลังใจไปต่อเรื่อยๆ เลยตังเป้าหมายขั้นต้นว่า
ขั้นแรก อยู่ให้ผ่าน เดือน กค. 2556 เพราะบางอย่างที่ได้ยินมันติดอยู่ในหัวถึงจะบอกว่าไม่เชื่อแต่จะทำยังไงมันก็ยังอยู่ในนั้น เรื่องก็คือมีเพื่อนชาวฟิลิปปินส์คนนึงเล่าเรื่องความเชื่อของเขาให้ผมฟังว่า "พี่น้องหากแต่งงานในช่วงปีเดียวกันแล้วคนใดคนนึงจะมีอันเป็นไปภายในหนึ่งปี" เขาบอกว่าเขาเชื่ือเพราะเขาก็เสียพี่ชายไปหลังจากแต่งงานได้ไม่นาน จากนั้นผมก็แต่งงานในเดือน มิย. 2555 น้องสาวผมแต่ง กค. 2554 ยังไม่ครบปีเลย จะว่างมงายก็ได้นะแต่มันอยู่ในหัวแล้วเอาออกยากซะด้วยผมก็เลยเอามาตั้งเป็นเป้าหมายซะเลย ตอนที่เริ่มเขียนนี้ก็เหลื่ออีกไม่กี่วันแล้ว ฮ่าๆ เฮ้อ
ขั้นต่อไป คือจัดการควบคุมไม่ให้อาการแย่ลง และปฏิบัติตัวให้ผ่านกระบวนการรักษาไปได้ด้วยดี
- สร้างอนาคต แน่นอนว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ผมจะไม่หายขาดจากโรคมะเร็งต่อนน้ำเหลืองนี้้ นั้นก็หมายความว่าผมก็ไม่สามารถกลับไปทำงานเรือที่ผมถนัดได้ แต่เมื่อจบกระบวนการรักษาและอาการผมดีขึ้นผมยังกลับไปเป็นวิทยากรที่ GM ได้เพราะพี่ๆที่นั่นเขายังพร้อมจะให้ความช่วยเหลืออยู่ แต่หากผมไม่แข็งแรงพอผมต้องมองหาสิ่งใหม่มาสร้างโอกาสให้กับตัวผมเอง
สิ่งที่ทำได้ที่ต้องทำ
- เรื่องสุขภาพก็ง่ายๆ คือผมจะต้องทำให้อาการดีขึ้นหรือไม่แย่ลง ไปจนถึงรักษาให้หายขาดไม่ก็ควบคุมมันให้อยู่
- เรื่องอนาคต จะพูดว่าไม่ต้องไปคิดเรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็คงทำลำบาก ถ้าบอกว่าทำได้คงหลอกตัวเองอีกนั่นล่ะ ยังไงๆคนเราก็ต้องคิดเรื่องนี้กันทั้งนั้นแต่ต้องพยายามคิดในส่วนที่เราจัดการได้จริงความคิดจะได้ไม่กลายเป็นความเครียด สิ่งที่จะทำต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย
สิ่งที่ต้องทำ
- สุขภาพ
- ออกกำลังกาย
- เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
- ดูแลความสะอาดที่พักและของใช้
- ดูแลสุขภาพจิต
- สร้างโอกาส ทีมองเห็นและพอเป็นไปได้อยู่ตอนนี้คือ Internet Marketing และเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายผมเองต้องหาความรู้และเพิ่มทักษะต่างๆ
- การใช้ภาษา English
- Program Computer
- Internet Marketing
แต่ก็ไม่ทิ้งสิ่งที่ผมถนัดคืออาชีพทางเรือนะ ถึงแม่ว่าผมอาจไม่สามารถกลับลงทำงานในเรือได้แต่ความรู้นั้นอาจมีส่วนช่วยผมก็เป็นได้
การตั้งใจทำอะไรดีๆให้ได้ตลอดมันเป็นเรื่องยากนะโดยเฉพาะตัวผมเอง ต้องคอยเตือนสติตัวเองบ่อยๆว่า
"แต่ละก้าวของชีวิตผมมันใกล้ความตายเต็มที
หากยังเหลวไหลพลั้งเผลอบ่อยๆก็คงอีกไม่นาน......"
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment