At the edge of darkness
Monday, June 24, 2013
อย่างที่ผมเคยบอกครับว่า "ไม่เคยกลัวโรคมะเร็ง" คิดเสมอว่า "มันเป็นได้ มันก็ต้องหายได้" หลายคนคงไม่มีโอกาสได้เป็นโรคมะเร็งและได้ผ่านความรู้สึกช่วงนั้นอย่างผม คงยากที่จะเข้าใจ ประมาณว่าคุณคลำทางอยู่นานในที่มืดๆ ที่ๆคุณเองไม่คุ้นเคย คุณลองจินตนาการถึงความรู้สึกตอนที่เริ่มเห็นแสงทางออก และก็ความรู้สึกตอนที่ใกล้จะพ้นจากความมืดดูครับ
ตอนที่ผมเริ่มรักษาโรคมะเร็งด้วยสารพัดวิธี ผมสับสนแต่ก็ยังเชื่่อว่าจะหายจากโรคด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และตอนผมรักษาด้วยเคมีบำบัดมีอาการตอบสนองทางร่างกายต่อยาดีมากมันคงรู้สึกเหมือนกันตอนที่เริ่มเห็นแสงทางออก ผมตื่นเต้นดีใจคิดเลยว่าต้อองหายป่วยแน่ๆ แล้วกระบวนการรักษาก็ดำเนินต่อไปจนร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมมาก สังเกตุได้จากก้อนที่คอยุบลงหายไปเกือบหมด หายใจได้สะดวกไม่แน่นอก ไม่เหนื่อยง่ายเหมือนก่อน ในที่สุดก็รักษาจนครบคอร์สเคมีบำบัดและการฉายแสง
กลับมาพักฟื้นที่บ้าน 5 เดือน อาการของผมดีขึ้นมากจนแข็งแรงพอที่จะกลับไปทำงานได้ ผมตื่นเต้นดีใจ เหมือนเกิดใหม่เหมือนกำลังจะก้าวพ้นความมืดที่ผมติดอยู่นาน แน่นอนครับตอนนั้นผมทำทุกอย่างที่ร่างกายจะทำได้เพราะอยากมีรายรับเข้ามาบ้างเพราะเงินที่เก็บมาใกล้หมดเต็มทีแล้ว กันยายน 2555 ทำงานเต็มที่โดยไม่คิดว่ามันจะเป็นการทำร้ายแผลที่กำลังจะหาย กินอาหารที่ไม่ดีต่อร่างกาย(ของหมักดอง น้ำอัดลม ชา กาแฟ ฯ)
เพราะความไม่ระวังของผมเองก็แสดงผล ช่วงเดือน ธ.ค. 2555 ไปพบหมอตามนัดเพื่อตรวจดูว่ามะเร็งมันกลับมาหรือเปล่า ซึ่งเดือนก่ออนหน้านั้นได้ X-ray ช่องอกดูแล้วปกติดี แต่คราวนี้ทำ CT-scan (คือ X-ray คอมพิวเตอร์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของร่างกาย) ผลออกมาว่า "พบก้อนที่อกผมขนาดประมาณ 4 cm ผมจำความรู้สึกวันนั้นได้ดี จำได้ว่าแฟนผมเป็นคนโทรมาบอกเพราะเธอเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลที่ผมทำ CT scan เธอบอกว่ามันกลับมาอีกแล้ว ตอนนั้นผมกำลังบรรยายในห้องอบรมอยู่ทำเอาผมอึ้งนิ่งไปพักใหญ่ประมาณว่ากำลังจะวิ่่งไปถึงแสงสว่างที่ทางออกแล้วแต่กลับมีอะไรมากระชากผมกลับลงไปอีกครั้ง ซึ่งมันลงไปลึกกว่าเดิม เพราะผมพอจะรู้ว่าการกลับมาของโรคนี้จะทำให้การรักษามันยุ่งยากขึ้นและโอกาสหายขาดมันน้อยลงกว่าเดิม วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าผมจะตายเร็วนี้
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment